วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มหาโยคะ 8




41. เมื่อทุกคนมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าที่เป็นหนึ่ง เขาจะเกิดความรู้สึกร่วมที่เป็นรากฐานของความรักที่แท้จริงในหมู่มวลมนุษยชาติอันเป็นทางรอดที่แท้จริง

42. วิถีชีวิตที่ดีงาม ตั้งอยู่บนความจริง ความรัก และความเรียบง่าย

43. จิตวิญญาณของมนุษย์เป็นนิรันดร ประสบการณ์ของจิตจะดำรงอยู่อย่างไม่มีขีดจำกัด ชีวิตของแต่ละคนคือการเรียนรู้ซึ่งจะยกจิตให้สมบูรณ์บรรลุถึงขั้นสูงสุดเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าซึ่งเป็นต้นตอแห่งจิต

44. การอุทิศตนรับใช้ผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ คือการกระทำทีี่สูงสุดสำคัญยิ่งกว่าการบำเพ็ญตะบะ ถือศีลอด และปฏิบัติธรรมรูปแบบใดทั้งปวง

45. "โอม นะมะ ศิวะ" ท่องไว้ในใจ และออกเสีียงเสมอตลอดเวลา จะน้อมใจสู่พระเจ้า ขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดที่ไร้สาระซึ่งออกจากใจ
หมายเหตุ : อาจท่องชื่อพระเจ้าที่ผู้ฝึกเคารพบูชาแทน เช่น "โอม นะมะ พุทธะ "

46. ถึงแม้นจะเป็นฆราวาสก็สามารถบรรลุถึงความเป็นอิสระและเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าละความยึดมั่นถือมั่นได้อย่างสิ้นเชิง

47. จักร : สพานเชื่อมกายกับจิต เป็นสิ่งเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงกว่า จักรเป็นจุดเชื่อมต่อกับมิติอื่น ผู้ใดหั่นปลุกจักร พลังจักรวาลจำนวนมหาศาลจะหลั่งไหลเข้าสู่ตัวโดยผ่านจักร กลายเป็นพลังภายในของคนผู้นั้นทำให้เขามีความสามารถต่าง ๆ นานาที่แต่เดิมเขาไม่มี

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มหาโยคะ 7

36. ผู้ใดที่หยั่งรู้ว่าตัวเองเป็นบุตรพระเจ้า ผู้นั้นจะมีพลังอำนาจแฝงภายในที่จะบรรลุจุดประสงค์ทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะมนุษย์ทุกคนมีแหล่งผลิตพลังงานที่มีความเป็นพระเจ้าเหมือนกันทั้งสิ้น ดุจหินก้อนเล็กที่แฝงไว้ด้วยพลังนิวเคลียร์มหาศาล

37. ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ประสบอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม และยกระดับจิตวิญญาณ เพราะว่าพวกเขามีพันธะทางครอบครัวและมีภาระทางสังคมอันหนักอึ้งที่ต้องแบกไว้

38. การใช้ชีวิตที่สมดุลทั้งภายนอกและภายในจะทำให้เห็นว่าการหลุดพ้นที่แท้จริงนั้นหาใช่การละทิ้งโลกภายนอกแต่อย่างใดไม่ แต่คือการละทิ้งโลกภายในต่างหาก (ทิ้งโลกียวิสัย(กิเลส) ภายใน)

39. จงเข้ามาหาด้วยหัวใจที่นอบน้อมถ่อมตน ผู้ปฏิบัติธรรมตามหลักโยคะ (สมาธิ ริยาโยคะ) แม้นจะเป็นจำนวนน้อยของหมวดธรรมนี้ก็ยังป้องกันภัยมืด คือ ทุกข์อันเนื่องมาจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

40. การที่จะสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้านั้นล้วนขึ้นอยู่กับความพยายาม ความเพียรแห่งตนเป็นสำคัญ ไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือศรัทธาในศาสนา หรือเจตนาของเทพแต่อย่างไร

มหาโยคะ 6

30. โลกวัตถุถูกชักใยโดยกฎแห่งมายา หรือหลักแห่่งความเป็นคู่ กับความเป็นสัมพันธภาพ

31. วิทยาศาสตร์แห่งวัตถุไม่อาจค้นหากฎที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของมายาที่เป็นองค์ฐานให้กับโลกแห่งปรากฏการณ์ได้

32. ผู้มีจิตสำนึกว่าตนคือจิตวิญญาณสากล ดำรงอยู่ในทุกแห่ง ... จะหมดความจำเป็นที่จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางกายภาพในฐานะที่เป็นร่างกายอยู่ในกรอบเวลา และสถานที่

33. ธาตุแท้แห่งจักรวาล คือ เเสง และคลื่นของพลังชีวิต

34. โยคีที่หลุดจากจิตสำนึกทางวัตถุโดยสิ้นเชิงสามารถปลดปล่อยตนจากพื้นที่แห่งสามมิติ และจากเวลาแห่งสี่มิติได้ ย่อมเคลื่อนย้ายกายตนไปสู่แสงได้ดังใจชอบ

35. ถ้าดวงตาที่สามเปิด ย่อมแลเห็นได้ชัดว่า กายตนเต็มไปด้วยแสง ความหลงผิดเกี่ยวกับวัตถุ หรือน้ำหนักเป็นมายาหลอกลวงเราจะถูกทำลายลงได้โดยการฝึกเพ่งจิตไปที่ "ตาที่สาม" เป็นเวลานาน ซึ่งจะก่อให้เกิดอภิญญาหรืออิทธิฤทธิ์ จักเกิดแต่ผู้ตรัสรู้อย่างแท้จริงว่าธาตุแท้ของสิ่งที่ถูกสร้างทั้งปวงคือแสง เขาสามารถใช้อนุภาคของแสงเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ขึ้นได้ดังจินตนาการของเขา

มหาโยคะ 5

24. ทุกข์ของมนุษย์ล้วนเกิดจากการละเมืดล่วงเกินกฎของจักรวาลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มนุษย์ควรมีความศรัทธาในพระเจ้าควบคู่ไปกับการปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติ คนเราสามารถผ่อนเบากรรมเก่าได้ด้วยการภาวนา ด้วยพลังจิตที่เข้มแข็ง ด้วยสมาธิของโยคะและด้วยความช่วยเหลือของอริยะบุคคล

25. มนุษย์มีแกนกลางกระดูกสันหลังที่เร้นลับแหลมคมฉับไว และมีแกนสมองใหญ่ที่มีศักยภาพที่จะรู้ทุกสรรพสิ่งได้

26. ในคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของอินเดียกล่าวไว้ชัดเจนว่า จุดประสงค์ที่มนุษย์กลับชาติมาเกิดบนโลกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ซ้ำ ๆ ๆ ๆ ... เพื่อเรียนรู้วิชา หรือวิธีการที่แสดงถึงจิตวิญญาณที่มีอำนาจเหนือวัตถุอย่างสิ้นเชิงกับผ่านประสบการณ์ชีวิตนับชาติไม่ถ้วน เพื่อให้เขาสามารถสำแดงคุณสมบัติแห่งพระเิจ้าที่ไร้ขอบเขตแห่งจิตวิญญาณออกมาภายใต้เงื่อนไขทางวัตถุที่จำกัดนั้นเอง

27. เพราะว่าความไม่รู้ทางจิตวิญญาณ หรืออวิชชา หรือการลืมความเป็นพระเจ้าในตนเองของมนุษย์ คือที่มาแห่งทุกข์ทั้งปวง

28. ตัวเราคือจิตวิญญาณและปราณ (พลังชีวิต คือ รูปลักษณ์หนึ่งของ "โอม" ที่เป็นคลื่นของจิต วิญญาณสากล) เป็นสิ่งให้ชีวิตแก่กาย

29. แม้นแค่ฝึกปราณให้ไหลเวียนขึ้นลง รอบ ๆ แกนกระดูกสันหลังเหล่านี้เพียงแค่ 30 วินาที เท่านั้น จิตวิญญาณของมนุษย์ผู้นั้นก็จะวิวัฒน์ไปอีกก้าวหนึ่งเมื่อเทียบกับระยะเวลาหนึ่งของวิวัฒนาการตามธรรมชาติของคนที่ใช้ชีวิตธรรมดา

มหาโยคะ 4

19. ผู้แสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจจะได้รับการปลดปล่อยจากสัญชาตญาณทั้งปวง นั่นคือแปรความอยากบนโลกให้เป็นความรักที่มีต่อพระเจ้าผู้เดีียว

20. นักวิชาการหรือปัญญาชนต้องระวังไม่ให้สิ่งที่ตนพูดเป็นความคิดอันล้ำเลิศแต่สิ่งที่ทำกลับเป็นเรื่องต่ำช้า ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการฝึกฝนตนเองอย่างเข้มงวด หรือมิได้ปฏิบัติธรรม ปัญญามิใช่มาด้วยตา หรือสมอง แต่ต้องมาได้จากทุกอณูในกายทั้งหมดซึ่งซึมซับเอาสัจธรรมเข้าไปเป็นของตนเอง ปริญญากับการรู้แจ้งในพระเวทไม่เกี่ยวข้องกันเลย

21. มนุษย์หากยิ่งตื่นในความเป็นจิตวิญญาณของตนมากเท่าใด เขายิ่งถูกครอบงำโดยวัตถุน้อยลงเพียงนั้น จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่เป็นเสรีตลอดกาล ไม่มีเกิด ไม่มีตาย และไม่ถูกบงการโดยตวงดาว

22. มนุษย์คือจิตวิญญาณ กายเป็นเพียงสิ่งอาศ้ัยชั่วคราวเท่านั้น ถ้ามนุษย์รับรู้แก่นแท้แห่งตนอย่างถูกต้องย่อมจะเป็นอิสระจากการถูกจองจำโดยกฏต่าง ๆ ของปรากฏการณ์ทั้งปวง

23. แผนที่ไม่จำเป็นสำหรับนักเดินทางก็ต่อเมื่อเขาถึงท่หมายแล้ว ดังนั้นระหว่างเดินทางแผนที่เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้นักเดินทาง ไม่หลงทางไปทาทางไปทางลัดฉันใด นักปราชญ์และอริยบุคคลโบราณได้ค้นวิธีการหลายอย่างที่จะช่วยให้ร่นระยะทางในการเดินทางท่ามกลางความหลงได้ นั่นคือปัญญาสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเข้ากระทำ และส่งผลต่อกฎแห่งกรรมได้

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มหาโยคะ 3

14. ผู้รู้ซึ้งถึงธาตุแท้ของวัตถุมิใช่นักฟิสิกส์ แต่เป็นมหาโยคีที่ลุอย่างแท้จริง

15. ไม่มีอุปสรรคใดเลยที่จะเอาชนะไม่ได้ในการที่มนุษย์จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ขอเพียงผู้นั้นไม่สูญเสียจิตใจที่มุ่งแสวงหาทางจิตวิญญาณเท่านั้น

16. พระเจ้าจะปรากฏขึ้นเหนือกายที่มีสุขภาวะที่ดี และใจที่แข็งแรง
กาย: วางใจไม่ได้ ดูแลให้ดีตามอัตภาพ แต่อย่าฟูมฟักทะนุถนอมจนเกินไป ทุกข์สุขเป็นของชั่วคราว ทำใจให้สงบ เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ที่เกิดจากทวิภาวะ(ความเป็นคู่) ด้วยใจที่เยือกเย็น พยายามทำตัวเองให้พ้นอำนาจมัน

17. โรคและการหายจากโรค โรคเป็นสิ่งภายนอกเข้าสู่ตัวเราโดยผ่านทวารที่เรียกว่า จินตนาการ ถ้าขับไล่ความคิดว่าตัวเราไม่สบายออกไปจากตัวได้ โรคก็ต้องไปจากเราดุจผู้มาเยือนที่เจ้าของไม่ต้อนรับ

18. การมุ่งแสวงหาความสำราญจากประสาทสัมผัสโดยไม่หยุดหย่อน คือบ่อนทำลายสันติสุขแห่งใจโดยแท้ เป็นการเจาะรูที่ก้นถังทำให้น้ำซึ่งเป็นพลังแห่งชีวิตถูกดูดซึมหายไปในทะเลทรายแห่งวัตถุนิยมไปจนหมดสิ้น

มหาโยคะ 2

7. เราต้องมุ่งชนะ "กิเลสตน" ในใจให้ได้ เพื่อเป็นผู้พิชิตใจ

8. จะเป็นชาวตะวันตกหรือตะวันออกที่ต่างขนบธรรมเนียมประเพณีกัน แต่จิตวิญญานล้วนไม่ต่างกัน

9. บนมรรควิถีของการค้นหาพระเจ้าให้พบ จะขาดความรักไม่ได้ การที่ท่านละสุขทางโลกและทรัพย์สินท่านสูญเสียสิ่งใดหรือไม่? ...เปล่าเลย! เราแค่ทิ้งเงินและความสำราญที่ไร้ความหมายและมีค่าเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ได้มาซึ่งมหาจักรวาลที่เปี่ยมบรมสุขอันนิรันดร์

10. เราไม่คิดว่าต้องอดกลั้นความอยากเลย เพราะว่าไม่คิดว่าต้องสูญเสียหรือสละอะไรเลยในสายตาเรา คนจำนวนมากที่มองแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าต่างหากที่สูญเสีย หรือสละอะไรไปมากมายเพราะว่าพวกเขาได้สละทิ้งของขวัญอันสูงสุดจากพระเจ้าเพื่อแลกมาซึ่งของเล่นบนโลกนี้ที่มีค่าน้อยนิดเหลือเกิน

11. สุขภาพของคนจะเป็นดั่งที่จิตใต้สำนึกของคนนั้นคิด อย่าลืมว่าความคิดมีพลังเฉกเช่นไฟฟ้า หรือแรงดึงดูดของโลก ใจของคนก็คือสะเก็ดไฟแห่งจิตสำนึกของพระผู้เป็นเจ้า หากคนเรามีความศรัทธาจริงใจด้วยใจเปี่ยมพลังย่อมจะบรรลุทุกสิ่งที่มุ่งมั่นจะทำ

12. การสำแดงคุณธรรมที่ตัวเองมีอย่างเอาการเอางานต่างหากที่จะช่วยขัดเกลาสติปัญญาทางธรรมได้

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มหาโยคะ 1

1. พระเจ้าเป็นสิ่งที่เรียบง่าย สิ่งอื่นที่มิใช่พระเจ้าเป็นสิ่งที่ซับซ้อน จงอย่าหาความสัมบูรณ์ในโลกธรรมชาติที่สัมพัทธ์นี้เลย

2. สัจธรรมเป็นเอกภาพที่ไร้ความขัดแย้งซึ่งหลุดจากมายาแห่งความเป็นคู่ได้

3. การพิจารณาตนเอง สังเกตติดตามการเคลื่อนไหวแห่งใจตนเองอย่างเยือกเย็น เป็นทุกขกิริยาอย่างหนึ่งที่ใช้แรงกายแรงใจมากเหลือเกิน เพราะว่าเราจะต้องบดขยี้อัตตา ความอหังการ์ของตัวเราที่ดื้อรั้น และฝังรากลึกในจิตใจของเราให้แหลกละเอียด .... การวิเคราะห์ตนเช่นนี้เชื่อว่ามันจะนำพาตัวเราให้กลายเป็นผู้ตื่นได้ในที่สุดซึ่งมันยาก! เพราะคนเราชอบหลอกตัวเองเสมอ

4. จิตเป็นตัวปกครองกาย เมื่อจิตบงการณ์ มีเจตนารมณ์ หรือเจตจำนงมุ่งมั่น กายย่อมแสดงออกมา ... กายถูกสร้างขึ้นและถูกค้ำจุนด้วยใจโดยแท้

5. แรงกดดันของสัญชาติญานที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ในอดีตชาติของเราจะแทรกซึงเข้ามาในชาตินี้ในรูปความเข้มแข็งหรืออ่อนแอ กลายเป็นสันดานหรือนิสัยใจคอของแต่ละคน รวมทั้งคุณสมบัติต่าง ๆ ของกายแต่ละคนให้แตกต่างกันไปด้วย

6. กายอ่อนแอแสดงถึงความอ่อนแอในใจ กายที่ถูกจองจำโดยสันดาน หรือนิสัยใจคอจะกีดขวางการทำงานโดยเสรีของใจ เกิดเป็นวงจรอุบาศว์ขึ้นมา

ฮวงโป 17

80. ในจิตหนึ่ง มิใช่ทั้งพุทธะ และ ปวงสัตว์ ในจิตหนึ่งไม่มีคติทวินิยม
81. การแก้คติทวินิยมให้ชี้ตรงไปที่จิต และเนื้อหาอันแท้จริงดั้งเดิมของเราในฐานะความจริงแท้แล้วเป็นพุทธะอยู่แล้วทั้งหมด
82. เมื่อตัดความคิดปรุงแต่งก็เกิดญาณ
82. ความรู้สึกด้วยใจจริงนี้เท่านั้นเรียกว่า ธรรมะ เมื่อธรรมะถูกรู้อย่างประจักษ์เราย่อมพูดถึงพุทธะได้
83. โพธิ คือ ความไม่มีแห่งความคิดว่า มีอยู่ หรือ ไม่มีอยู่
84. เราไม่สามารถเป็นอะไรที่เราได้เป็นอยู่แล้วตลอดเวลาได้อีก เราสามารถเพียงแต่รู้ถึงภาวะดั้งเดิมของเราอย่างลึกซึ้งโดยประจักษ์เท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้มันถูกบดบังด้วยเมฆแห่งมายา คือ อวิชชา
85. หยุด ความคิดปรุงแต่ง การแสวงหา ความรู้ในทางต่าง ๆ ดู เห็น แต่ไม่เป็น หยุดกระแสความคิดปรุงแต่งได้ทุกอย่างก็ไร้ซึ่งความผิดใด ๆ เมื่อความคิดเกิด สิ่งต่าง ๆ ก็เกิด เมื่อความคิดดับสิ่งต่าง ๆ ก็ดับ
86. ความว่าง เป็นสิ่งที่สิงซึมอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เป็นความงามที่ไร้ตำหนิ เป็นสิ่งที่มีอยู่โดยตัวมันเอง และเป็นสิ่งสูงสุดที่ไม่มีอะไรสร้างขึ้น
หมายเหตุ
(1) ซาโตริ (satori) หรือ ญาณที่โล่งออกมาแบบสายฟ้าแลบ
(2) ฮวงโป : น้ำเสียงนุ่มนวล น่าฟัง มารยาท เสงีี่่ยมและสงบ

ฮวงโป 16

72. ภาวะแห่งความสงบนั้นคือมหาสมุทรแห่งญาณ
73. สังสารวัฏ คือ ความสับสนที่หมุนเชี่ยวอยู่
74. ความรู้ที่ฉันได้รับ การศึกษาที่ฉันได้กระทำ ความเข้าใจอันลึกซึ้งของฉัน วิถีชีวิตในทางธรรมของฉัน ความหลุดพ้นจากการเวียนเกิดของฉัน ... เป็นความคิดแห่งความสำเร็จที่ทำให้รู้สึกสุข ... นี้เป็นความผิดพลาดอย่างน่าทุเรศ! มันเป็นประโยชน์อะไรล่ะต่อจิตหนึ่ง
75. ทุกสิ่งมีการเคลื่อนไหว สลายตัว เปลี่ยนแปลงเสมอ ( สู่ความว่าง )
76. มหาศุนยตา หรือ ความว่างมหาศาลครอบคลุมโลกทั้งปวง ซึมอยู่ในทุกสิ่ง และเป็นความว่างเนื้อเดียวกันหมดมิมีแบ่งแยก
77. หลักการ :
(1) คงสภาพสงบเงียบ อยู่อย่างมีระเบียบ
(2) อยู่เหนือกรอบของตน
(3) อย่าลวงตนโดยคิดปรุงแต่ง
78. ความคิดต่าง ๆ ภายในใจ ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดจากอารมณ์ภายนอกนั้น เป็นเหตุให้เดินทางผิดได้พอ ๆ กัน
79. ทางแห่งพุทธะทั้งหลาย ทางแห่งมารทั้งปวง เป็นอันตรายแก่เธอเช่นเดียวกัน เพราะทำให้ความคิดไปในทางมีตังตนเป็นนั่นนี่ เพียงแต่คิดว่ามีทางก็เป็นอันตรายต่อความเข้าใจถูก ยังไปคิดว่ามี พุทธะ หรือ มาร เป็นเจ้าของทางและมีจุดหมายปลายทาง เป็นความคิดปรุงแต่ง ทำให้เกิดความคิดปรุงแต่งสืบต่อไปมิหยุดตัวตนที่พัวพันกันเอง